วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

ดอกชบา

ข้อมูลทั่วไป
  

   ชื่อวิทยาศาสตร์   Cananga odorata Hook
   ลักษณะทั่วไป  
เป็นไม้ยืนต้นลักษณะใบคล้ายเล็บ   มือนางออกดอกเป็นช่อตรงบริเวณปลายก้านโคนก้านใบ  สภาพที่เหมาะสม แดดจัด
        
        ลักษณะเด่นของพืชชนิดนี้         

คือ มีเส้นใยและยางเมือก (mucilagnous)
อยู่ในเนื้อไม้โดยทั่วไปเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง
ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับมีรูปร่างหลายแบบ
เช่น รูปไข่ รูปกลม รูปรีหรือเว้าเป็นแฉก 3-5 แฉก
มีกลีบดอก 5 กลีบแต่ละดอกจะเชื่อมติดกันเป็นวงที่ฐานดอก เกสรเพศผู้ ประกอบด้วยอับเรณูสีเหลือง
รูปไตและก้านชูอับเรณูสีขาวหรือสีเดียวกัน เกสรเพศเมีย อยู่ปลายหลอดเกสรเพศผู้มักมีก้านเล็ก ๆ แยกยอดเกสรเพศเมียเป็น 5 ยอก
ตามจำนวนห้องรังไข่ส่วนยอดมีน้ำหวานสำหรับจับละอองเรณู
     
ประเภทของดอกอาจแบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ
   1.ดอกบานเป็นรูปถ้วย
   2.ดอกบานเป็นรูปแผ่แบน
   3.กลีบดอกบานแบบแผ่โค้ง
      การขยายพันธุ์

         การขยายพันธุ์มี 3 วิธี คือ  
  1.การปักชำ   2.การเสียบยอด
  3.การติดตา

         โรคและแมลงศัตรู
   1. โรค ที่พบในชบาได้แก่ โรคใบจุดในช่วงฤดูฝน
        โรคใบหงิกที่เกิดจากเชื้อไวรัสโดยมีแมลงหวี่ขาวเป็นพาหะ
  2. แมลงศัตรุ ที่พบมากได้แก่ แมลงหวี่ขาวดูดน้ำเลี้ยงจากใบ
        และยอดอ่อนทำให้เกิดโรค ใบหงิก เพลี้ยแป้ง เพี้ยหอย
        ดูดน้ำเลี้ยงจากใบและกิ่งก้านนอกจากนี้ยังมีหนอนผีเสื้อ
        บางชนิดกัดกินดอกอ่อนทำให้ดอกไม่บานหรือกลีบเว้าแห่วง
  3. สัตว์สัตรู ได้แก่ หอยทาก ทำลายโดยการกัดกินดอก
        กำจัดโดยใช้มือดึงออกหรือโรยปูนขาวรอบพื้นที่ปลูก





ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ

    ประเภทของดอกไมช่อกระจุก
    ประเภทของต้นไม้ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก
    แหล่งที่พบ ร้อนชื้น
    การบานของดอก บานสลับทีละดอก
    ตำแหน่งการเกิดดอก ออกตามซอกใบและปลายยอด
    กลีบดอก (สี,จำนวน,ขนาด) สีแดง 5 กลีบยาว 7-8 ซ.ม.จำนวนกลีบเลี้ยง (สี) 2 ชั้นมีสีเขียวเข้ม  ชั้นล่าง 8 กลีบ      และชั้นบนสีเขียวออกขาวยาวห่อก้านกลีบดอกขึ้น มา 2.5 ซ.ม.มี 5 กลีบเกสรตัวผู้(จำนวน,ขนาด,ลักษณะ) มีประมาณ 70-90      อันก้าชูเกสรจะต่อออกข้างก้านชูเกสรตัวเมียมีขนาด 1 ซ.ม. มีจุดสีเหลืองเกสรตัวเมีย(จำนวน,ขนาด,ลักษณะ) มี 1 อันก้านชูเกสรใหญ่ยาว
     9  ซ.ม.ปลายแยกออกเป็นช่อเกสรยาวอันละ 1.5 ซ.ม.มี 5      อันมีจุดกลมสีดำอยู่ปลายยอดมียาว เหนียวไว้จับอับระอองเรณูของเกสรตัวผู้

    กลิ่น ไม่มีกลิ่น
         
                                         ดอกชบา

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Hibiscus spp. and hybrid ชื่อวงศ์ : Malvaceae
ชนิดพืช [Plant Type] : ไม้พุ่ม ขนาด [Size] : สูง 2-3 เมตร สีดอก [Flower Color] : สีขาว ม่วง ชมพู เหลือง ส้ม ฤดูที่ดอกบาน [Bloom Time] : ตลอดปี อัตราการเจริญเติบโต [Growth Rate] : เร็ว ลักษณะนิสัย [Habitat] : ดินร่วน ระบายน้ำดี ความชื้น [Moisture] : ปานกลาง-ต่ำ
แสง [Light] : แดดเต็มวัน ลักษณะทั่วไป (Characteristic) : ไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น เปลือกสีเทาปนน้ำตาล ใบ (Foliage) : ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่ถึงรูปขอบขนาน กว้าง 5-9 เซนติเมตร ยาว 7-12 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบจักฟันเลื่อย แผ่นใบบาง ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้ม ก้านใบยาว 2-4 เซนติเมตร ดอก (Flower) :
มีหลายสีขึ้นอยู่กับพันธุ์ เช่น สีขาว ม่วง เหลือง ส้ม และชมพู ออกเป็นดอกเดี่ยวที่ปลายกิ่ง
มีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน โคนกลีบดอกซ้อนเกยกันเป็นหลอด ปลายแยก 5 กลีบ ดอกบานเต็มที่กว้าง 7-9 เซนติเมตร
ผล (Fruit) : ผลแห้งแตก รูปกลมถึงยาว การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) : ดอกสวยมีสีสัน ปลูกเป็นแปลงขนาดใหญ่ ปลูกในสวนสาธารณะ ตัดแต่งทรงพุ่มทำรั้วได้ ปลูกริมถนน ริมทางเดิน ริมน้ำตก ลำธาร สระว่ายน้ำ ริมทะเล ประโยชน์ :
ดอกตำพอกหรือทาบำรุงเส้นผม
แนะนำติชมได้นะครับมิตรรักทุกท่านที่แวะมาชม 


            ประวัติชบา

ชบาพืชที่พบได้ทั่วไปในส่วนต่างๆ ของโลกมีถิ่นกำเนิดเป็นบริเวณกว้างใขเขตร้อนชื่น จากสมมุติฐานของ Ross Gast ในหนังสือ Genetic History of Hibibiscus rosasinensis บันทึกว่า ชบามีการกระจายพันธุ์เริ่มจากอินเดีย ซึ่งมีการนำชบามาใช้ประโยชน์ในกลุ่มชาวโพลินนีเซียน ต่อมาจึงแพร่หลายไปสู่จีน และบริเวณหมู่เกาะแปซิฟิก โดยนำชบาดอกสีแดง ( ปัจจุบันคือ Hibiscus rosasinensis ) ที่เรียกกันว่า กุหลาบจีน หรือ " Rose of China " ซึ่งมี ทั้งกลีบดอกชั้นเดียวและดอกซ้อนมาใช้เป็นไม้ดอกไม้ประดับ มีการสะสมพันธุ์ และส่งไปประเทศในแถบยุโรป
      ชบาแพร่เข้าสู่ยุโรปครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2221 โดย Van Reed ซึ่งเป็นชบาสีแดงกลีบดอกซ้อน ต่อมาในปี พ.ศ. 2275 Philip Miller และคณะได้นำชบาพันธุ์ดอกซ้อนและพันธุ์อื่น ๆ เข้าไปเผยแพร่ในอังกฤษ โดยนำมาปลูกสะสมพันธุ์ที่ The Chelsea Physic Garden และทดลองผลิตลูกผสม แต่ยังไม่แพร่หลายนัก ซึ่งในขณะนั้นใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hibiscus javanica เพราะเข้าใจว่าชบาที่นำเข้ามาเป็นพืชพื้นเมืองของเกาะชวา (Java)ของอินโดนีเซีย ต่อมากัปตันคุกและคณะได้เดินเรือสำรวจหมู่เกาะในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกไปพบชบากลีบดอกซ้อนสีแดงปลูกอยู่ทั่วไป
      การปลูกชบาในฮาวายมีความนิยมมากว่า 100 ปีแล้ว ในช่วงแรกมีการนำชบาสีแดงกลีบดอกชั้นเดียวจากจีนมาผสมกับพันธุ์พื้นเมืองของฮาวาย และพู่ระหง เพื่อผลิตลูกผสมที่มีลักษณะแปลกใหม่ โดยในปีพ.ศ.2457 GERNIT WILDER เป็นบุคคลแรกที่รวบรวมพันธุ์ชบาและนำมาจัดแสดงได้มากถึง 400 พันธุ์ ในปีต่อมาจึงเรื่มมีผู้ให้ความสนใจและผลิตลูกผสมที่มีรูปร่างและสีสันแตกต่างกันออกมามากมาย จนในปี พ.ศ.2466 มีการออกกฎหมายประกาศให้ชบาเป็นดอกไม้ประจำ
นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของการพัฒนาชบาพันธุ์ลูกผสม ๆ โดยนักปรับปรุงพันธุ์อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการเข้ามาสู่ประเทศไทยของชบานั้นไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเมื่อใด แต่ก็มีเรื่องราวของดอกพุดตาน [ Hibicus mutabilis ] ซึ่งเป็นพืชในสกุล ชบาปรากฏอยู่ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง วรรณกรรมสมัยสุโขทัย กล่าวถึงการใช้ดอกพุดตานในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ( เป็นสัญลักษณ์ของการผลัดแผ่นดิน เพราะดอกพุดตานจะเปลี่ยนสีไปตามอุณหภูมิของวันนั่นเอง ) จึงน่าเชื่อได้ว่าจะมีการปลูกเลี้ยงพืชสกุลชบาในประเทศไทยกันแล้วในสมัยสุโขทัยและสันนิษฐานว่าคงจะนำเข้าจากประเทศจีนที่มีการติดต่อค้าขายกันอยู่ในสมัยนั้น นอกจากนี้ในสมัยโบราณคนไทยยังมีประเพณีและความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียในด้านที่ไม่เป็นมงคล เช่น การใช้ดอกชบาคล้องคอนักโทษประหาร เพื่อประจานความผิด แต่ในปัจจุบันความเชื่อนี้ได้ลดน้อยลงจนแทบไม่เห็นร่องรอยเดิม ขณะเดียวกันก็มีความเชื่อที่เป็นสิริมงคลเกี่ยวกับชบา เช่น คนปีกุนที่ปลูกบ้านใหม่จะใช้ดอกชบาและใบทองพันชั่งวางก้นหลุมรองเสาเอกของบ้าน เพราะเชื่อว่าจะทำให้เจ้าของบ้านร่ำรวย จึงกล่าวได้ว่า ชบาเป็นพืชที่มีความผูกพันกับคนไทยมาช้านาน นิยมนำมาปลูกประดับบ้าน เพราะดูแลรักษาง่ายและออกดอกสวยงามตลอดไป



http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=1421302241213155359#editor/target=post;postID=8134211666013429915

http://www.school.net.th/library/webcontest2003/100team/dlcs060/webforwer/Chaba/Chaba.htm

http://www.klongdigital.com/webboard3/21280.html
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น